คำถามสำคัญก่อนตัดสินใจ

หากท่านสนใจที่จะทำศัลยกรรม ตอบคำถามพื้นฐาน 5 ข้อนี้ก่อนนะครับ

1. ฉันควรจะทำศัลยกรรมหรือไม่

มันดูเป็นคำถามที่สายเกินไปแล้ว คุณคิดว่าคุณจะทำศัลยกรรมแน่ ๆ  แต่ยังไง ลองอ่านดูก่อน

ให้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า มีความอยากทำมากแค่ไหน

คุ้มที่จะทำศัลยกรรมถ้าความอยากทำมีมากกว่าความกลัว

ถ้าคุณวนเวียนนึกถึงการแก้ไขรูปร่างหรือเรือนร่างตัวเองตลอดหรือบ่อย ๆ ทุกวัน ทุกสองสามวัน ทุกสัปดาห์ หลายครั้งต่อเดือน จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แบบนี้การทำศัลยกรรมจะทำให้คุณมีความสุขได้ เพราะความถี่ของมันสูงมาก มันรบกวนจิตใจคุณตลอดหรือแทบจะตลอด

ไม่คุ้มที่จะทำศัลยกรรม คุณมีความกลัวมากกว่าความอยากทำ

แต่ถ้าคุณไม่ค่อยได้คิดถึงร่างกายส่วนนั้นของคุณสักเท่าไร แค่นาน ๆ ทีก็นึกได้ว่า อยากเสริมหน้าอก อยากเสริมดั้ง แถมรู้สึกกลัว ๆ ตามมาติด ๆ กลัวเจ็บ กลัวตาย กลัวมีปัญหา แบบนี้อย่าทำนะครับ  ชีวิตคุณยังดำเนินต่อไปได้อย่างมีความสุข  ห้ามทำเด็ดขาดเพียงเพราะไปกับเพื่อนแล้วเห็นเขาลดราคา มีเจ้าหน้าที่คลินิกมาพูดจาหว่านล้อม บอกแต่สิ่งดี ๆ ภาพสวย ๆ ว่าคุณจะสวยขึ้นอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่เจ็บ  ห้ามทำเด็ดขาดถ้าเพิ่งทะเลาะหรือเลิกกับแฟน

สำหรับศัลยกรรมความงาม อย่าถามหมอหรือเจ้าหน้าที่ที่คลินิกเด็ดขาดว่า ควรทำไหม  มันแทบจะไม่มีคำตอบอื่น

ศัลยกรรมความงามเป็นสิ่งที่ทำเพื่อความพอใจของคุณ ไม่ใช่การทำเพื่อรักษาโรค อย่าถามหมอหรือเจ้าหน้าที่ที่คลินิกเด็ดขาดว่า “ควรทำไหม”  ถ้าเป็นเบาหวานแล้วถามว่า ควรรักษาไหม ตอบได้ทันทีว่าต้องรักษา  แต่ถ้าถามว่า ควรทำศัลยกรรมแบบนี้แบบนั้นไหม มีหรือที่ทางคลินิกที่ต้องการรายได้จะตอบไม่ต้องทำอะไร  เขามีเงินเดือนพนักงาน ค่าเช่า ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าการตลาด และอื่น ๆ อีกมากมายที่ต้องจ่าย ยากครับที่เขาจะบอกว่า คุณไม่ควรทำอะไร ให้กลับออกจากคลินิกไปกระเป๋าตังค์ตุง ๆ เหมือนเดิม

ขึ้นชื่อว่าศัลยกรรม ไม่ว่าจะทำที่ไหน ไทย เกาหลี จ่ายแพงขนาดไหน หมอดังขนาดไหน มีโอกาสเกิดปัญหาได้หมด  ถ้าคุณไม่ได้มีความต้องการจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงส่วนนั้นของร่างกายอย่างแท้จริง พอทำศัลยกรรมแล้วเกิดปัญหาเพียงน้อยนิด คุณจะเสียใจไปตลอดชีวิต

แต่สำหรับคนที่อยากเปลี่ยนแปลงร่างกายมาก ๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางใจหรือทางด้านการทำงาน พอได้ทำ แม้ผลจะไม่สมบูรณ์แบบ มีปัญหาบ้าง เขาก็จะมีความสุข  สิ่งสำคัญคือ ความสุขทางใจ ครับ  ทำแล้วมีความสุขใจ ไม่ใช่มีแต่ความทุกข์

2. ความคาดหวังของคุณคืออะไร
คุณมีภาพของรูปร่างใหม่ที่อยากได้หรือไม่
คุณไม่ชอบส่วนของร่างกายคุณอย่างไรบ้าง

สภาพที่ดีที่สุด

**นี่เป็นลักษณะที่ดีที่สุด คือ คุณสามารถบอกหมอของคุณได้ว่า ความคาดหวังของคุณคืออะไร  คุณบรรยายได้อย่างดีว่าอยากให้ร่างกายส่วนนั้นเปลี่ยนไปอย่างไร ทั้งโดยการบรรยาย ให้รูปภาพตัวเองที่ตกแต่งด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ รูปภาพคนอื่น คลิปวิดีโอ  แบบนี้ แพทย์จะสามารถบอกคุณได้ว่า ทำได้หรือไม่ ทำด้วยวิธีใด

Your checklist for rhinoplasty

สภาพที่แย่ที่สุด

คุณรู้สึกแต่ว่า ร่างกายส่วนนั้นไม่ดี แต่ไม่รู้ว่าไม่ดีอย่างไร ไม่รู้ว่าควรทำอะไร ไม่มีความรู้อะไรเลยเกี่ยวกับศัลยกรรมแต่ละอย่าง หรือมีแต่ความรู้ผิด ๆ เกี่ยวกับเทคนิคศัลยกรรมต่าง ๆ ไม่รู้ว่าอยากให้มันเปลี่ยนไปเป็นอย่างไร  ถ้าคุณไปรับการทำศัลยกรรม มีโอกาสสูงมากที่ศัลยกรรมนั้นจะไม่ประสบความสำเร็จ

เมื่อไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรในรายละเอียด เราก็มักจะถามหมอว่าควรทำอะไร หรือก็ต้องยอมตามคำแนะนำที่ได้รับทั้งหมด  โอกาสสูงที่จะได้รับการทำศัลยกรรมที่ไม่จำเป็นหรือชนิดของการผ่าตัดที่ไม่ตรงกับความต้องการ  หมอแต่ละคนไม่ได้สามารถทำผ่าตัดได้ทุกอย่าง ถ้าตัวเราเองยังไม่มีภาพของร่างกายที่อยากได้และไม่เข้าใจว่าการผ่าตัดที่เขาเสนอมาจะทำให้ร่างกายเราเปลี่ยนไปเช่นไร หมอเขาก็อาจจะพยายามเกลี้ยกล่อมให้คุณทำศัลยกรรมที่เขาทำได้ แต่อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ  เป็นที่รู้กันว่า ความล้มเหลวของศัลยกรรมความงามส่วนใหญ่เกิดจาก ผลของการศัลยกรรมไม่ตรงตามความคาดหวัง

ถ้าคุณตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่รู้อะไรเลยแบบนี้ คุณจะโชคดีมากถ้าหมอของคุณวิเคราะห์ให้ได้ว่า ปัญหาคืออะไร สิ่งที่ดีกว่าหรือสวยกว่าควรจะเป็นอะไร บอกได้ว่าเทคนิคศัลยกรรมแบบไหนที่จะเหมาะกับคุณ

แต่คนเราไม่ได้โชคดีเสมอไป อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจทำนะครับ หาหมออีกหลาย ๆ คน ฟังหลาย ๆ ความเห็น

ตัวอย่างที่ 1

ชอบมีคนบอกว่า หน้าดูเศร้า ดูแก่และเหนื่อย
ความเห็นหมอคนที่ 1: คุณมีหนังตาเกินนะ ต้องตัดออก ต้องทำตาบน
ความเห็นหมอคนที่ 2: สาเหตุที่แท้จริงคือ คิ้วตกลงต่ำ ควรจะผ่าตัดยกคิ้วมากกว่าทำตาบน
ทางออก: หาหมออื่นเพิ่ม ค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับทั้งการทำตาบนและการยกคิ้ว เมื่อมีความรู้ คุณจะตัดสินใจได้เองว่าอะไรดีที่สุดสำหรับตัวเอง  คุณจะได้เลือกเทคนิคที่เหมาะกับตัวเอง ไม่ใช่เทคนิคที่หมอชอบหรืออยากทำ

ตัวอย่างที่ 2

อยากให้หน้าอกเต่งตึง ใหญ่สมส่วน แต่ยังดูธรรมชาติ
ความเห็นหมอคนที่ 1: คุณควรใช้ซิลิโคนแบบกลมผิวเรียบขนาด 350 ซีซี
ความเห็นหมอคนที่ 2: คุณควรใช้ซิลิโคนแบบหยดน้ำ 400 ซีซี
ทางออก: หาความรู้เพิ่มเกี่ยวกับซิลิโคนประเภทต่าง ๆ นำภาพหน้าอกของคนอื่นที่ชอบให้หมอพิจารณา หมอได้เห็นภาพแล้ว อาจจะแนะนำเปลี่ยนคำแนะนำ  เราควรจะได้โอกาสในการทดลองกับเต้านมเทียมขนาดต่าง ๆ เลือกขนาดด้วยตนเอง เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีท่ีสุด

3. คุณรู้เกี่ยวกับเทคนิคศัลยกรรมที่กำลังจะได้ทำดีพอหรือยัง

ผ่านข้อ (1) และ (2) แล้วก็ยังไม่พอ

แม้จะรู้ตัวว่าอยากทำแน่ ๆ รู้ดีว่าต้องการอะไร มีภาพของตัวเองในลักษณะที่ชัดเจน คุณก็ยังควรที่จะพูดคุยกับหมอของคุณให้ละเอียดว่า การผ่าตัดเป็นอย่างไร ทำยังไง มีข้อดีข้อเสียอย่างไร

แม้ว่าความรู้ต่าง ๆ จะหาได้จากอินเทอร์เน็ต เมื่อได้ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตมาแล้ว คุณก็ยังควรที่จะไปพบแพทย์ ไม่ว่าจะกี่คนก็ตาม  อย่าเพิ่งเชื่อแต่ในอินเทอร์เน็ต

Example of overclaimed sentences

สิ่งที่ควรจะรู้

  • การผ่าตัดนั้นทำอย่างไร
  • ชนิดของวิธีการระงับความเจ็บปวด (ฉีดยาชาเฉพาะที่ ฉีดยาให้หลับทางหลอดเลือด ดมยาสลบเต็มรูปแบบและมีการใส่ท่อหายใจ)
  • มีภาวะแทรกซ้อนอะไรได้บ้าง มีผลเสียอย่างไรบ้าง

ถ้าหมอไม่สามารถอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้ฟังได้ อย่าเดินหน้า  แต่ถ้าอธิบายมาแล้ว คุณเข้าใจ คุณยอมรับและยังอยากทำ คุณจะตัดสินใจได้เองว่า มันเป็นวิธีการผ่าตัดที่เหมาะกับตัวเองหรือไม่  ไปคำถามข้อที่ 4 ต่อไป

4. เลือกหมอ

ในระหว่างการตอบคำถาม 3 ข้อแรก คนส่วนใหญ่จะได้คำตอบแล้วว่าจะให้หมอคนไหนทำผ่าตัดให้  ไม่ว่าจะได้หมอในใจแล้วหรือไม่ ต่อไปนี้เป็นลักษณะของหมอที่ท่านควรจะเลือก

  • เป็นศัลยแพทย์ตกแต่ง
  • มีประสบการณ์มากพอ
  • มีการเพิ่มพูนความรู้อยู่อย่างสม่ำเสมอ

เป็นศัลยแพทย์ตกแต่ง

การฝึกอบรมอย่างเป็นทางการเพื่อให้เป็นศัลยแพทย์ตกแต่งเป็นมาตรฐานที่ทั่วโลกทำกัน ไม่แตกต่างจากการฝึกอบรมเพื่อเป็นหมอเฉพาะทางด้านอื่น ๆ เช่น จักษุแพทย์ วิสัญญีแพทย์ กุมารแพทย์  มันเป็นการเปลี่ยนหมอทั่วไปคนหนึ่งให้กลายเป็นหมอผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งตรงนี้ก็ไม่แตกต่างจากสาขาวิชาชีพอื่น ๆ เช่น วิศวกร สถาปนิก ผู้พิพากษา  เป็นแบบนี้หมดทั่วโลก  ไม่มีศาสตร์สาขาใดที่ทำได้ในเวลาเพียงไม่กี่เดือนหรือเพียงปีเดียว หากท่านเห็นหมอคนใดบอกว่าเรียนเฉพาะทางมาในเวลาเพียง 1 ปีหรือน้อยกว่า ไปดูงานประเทศนี้สามเดือน ประเทศนั้นสองเดือน ให้รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่

ในปัจจุบัน การฝึกอบรมเพื่อเป็นศัลยแพทย์ตกแต่งใช้เวลาอย่างน้อย 5 ปี หลังจากนั้นก็จะได้สิ่งที่เรียกว่า “วุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมสาขาศัลยศาสตร์ตกแต่ง” จากแพทยสภา เรียกว่าเป็น“ศัลยแพทย์ตกแต่ง”  โดยทั้งหมดจะเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมวิชาชีพที่เรียกว่า สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย  ในเวลาต่อมาก็จะสามารถสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย

ชื่อสาขาเฉพาะทางนอกเหนือไปจาก “ศัลยศาสตร์ตกแต่ง” และสมาคมวิชาชีพนอกเหนือไปจาก 2 สมาคมดังกล่าวข้างต้น แสดงว่าไม่ใช่ศัลยแพทย์ตกแต่ง

ตัวอย่างของผู้ที่ไม่ใช่ศัลยแพทย์ตกแต่ง

  • แพทย์ในสังกัดสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย (Thai Academy of Facial Plastic & Reconstructive Surgery) - จะเห็นได้ว่า ดูคล้ายกับสมาคมของศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทยมาก แต่มีคำว่า “ใบหน้า”ด้วย
  • แพทย์ที่สังกัดสมาคมทุกสมาคมที่มีคำว่า "Academy" เช่น American Academy of Aesthetic Medicine, American Academy of Cosmetic Surgery
  • แพทย์ที่มีการใช้คำว่า "cosmetic" ในประวัติการศึกษา โดยไม่เคยได้รับวุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมสาขาศัลยศาสตร์ตกแต่งจากแพทยสภา
  • มีใบประกาศนียบัตรที่แสดงถึงการได้เข้ารับการอบรมทางศัลยกรรมความงาม โดยไม่เคยรับได้วุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมสาขาศัลยศาสตร์ตกแต่ง  ยิ่งมีประกาศนียบัตรหลายใบหรือไปดูงานหลาย ๆ ที่ ไม่ว่าจะเป็นในหรือนอกประเทศ เป็นไปได้มากที่จะไม่ใช่ศัลยแพทย์ตกแต่ง

ความจริงเกี่ยวกับแพทย์ไทย

  • หมอที่ดีส่วนใหญ่ไม่โฆษณา ไม่พูดว่าตนเองเก่ง และไม่ได้ยอมให้คลินิกโฆษณาโอ้อวด  นั่นคือ มีศัลยแพทย์ตกแต่งเก่ง ๆ อยู่มาก แต่ไม่ได้หาเจอได้ทางอินเทอร์เน็ต  หมอที่ดีไม่มีรีวิว หมอที่มีรีวิวมาก ๆ ต้องระวัง
  • มีศัลยแพทย์ตกแต่งแค่ 400 คนในประเทศไทย แต่มีคลินิกที่ให้บริการหลายพันแห่ง  นั่นหมายความว่า ส่วนใหญ่ที่เราเห็นกัน ไม่ใช่ศัลยแพทย์ตกแต่ง

รู้ได้ไง หมอคนไหนเรียนจบด้านไหน

วิธีที่แน่นอนที่สุดคือ ตรวจสอบที่แพทยสภา  ไม่แน่ใจว่าการโทรศัพท์ถามจะสะดวกหรือไม่ แต่แพทยสภามีเว็บไซต์ที่ใช้ตรวจสอบได้  ปัญหาของเว็บไซต์นี้คือ ต้องพิมพ์ชื่อและนามสกุลของแพทย์ให้ถูกต้องครบถ้วนทุกตัวอักษร ไม่สามารถค้นหาได้ตัวอักษรไม่กี่ตัว

ตัวอย่างการตรวจสอบหาความเชี่ยวชาญของแพทย์ที่เว็บไซต์แพทยสภา
ตัวอย่างการตรวจสอบหาความเชี่ยวชาญของแพทย์ที่เว็บไซต์แพทยสภา ถ้าเป็นศัลยแพทย์ตกแต่ง จะปรากฏประโยค “สาขา ศัลยศาสตร์ตกแต่ง ( Plastic Surgery )” สั้น ๆ แค่นั้น

นอกจากเว็บไซต์ของแพทยสภา ท่านยังสามารถตรวจสอบรายชื่อของศัลยแพทย์ตกแต่งได้ที่เว็บไซต์ของสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย

มีประสบการณ์มากพอ

หลังจากจบการฝึกอบรมเป็นศัลยแพทย์ตกแต่ง ความสำเร็จของศัลยกรรมยังขึ้นกับประสบการณ์ด้วย เช่นเดียวกับวิชาชีพและงานด้านอื่น ๆ  วิธีการหนึ่งในการประเมินประสบการณ์คือ การดูระยะเวลาการทำงานโดยนับจากปีที่จบการฝึกอบรม

ความจริงอีกประการหนึ่งคือ หมอที่ทำงานแต่ในคลินิกความงามจะมีทักษะแต่เฉพาะด้านความงาม สู้หมอที่ทำศัลยกรรมทั้งที่รักษาความเจ็บป่วยร่างกายผิดรูปและที่เสริมความงามไม่ได้

มีการเพิ่มพูนความรู้อยู่อย่างสม่ำเสมอ

ไม่ว่าจะวิชาชีพไหน แพทย์ที่ดีจำเป็นควรอ่านหนังสือใหม่ ๆ วารสารทางการแพทย์ และเข้าร่วมประชุมวิชาการอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มีความรู้ใหม่ ๆ ตลอดเวลา  วิทยาการทางการแพทย์ก้าวหน้าและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้สิ่งที่เคยรู้เคยถูกต้องกลายเป็นไม่ถูกต้อง  การไม่เพิ่มพูนความรู้ใหม่ ๆ ก็เท่ากับล้าหลังทางความรู้ ไม่ได้รักษาผู้ป่วยด้วยวิธีการที่ดีที่สุดหรือแม้แต่ใช้วิธีการที่ผิดด้วยซ้ำ  คุณคงไม่อยากได้หมอที่มีแต่ความรู้เก่า ๆ ใช่ไหมครับ

แต่โชคไม่ดี ข้อมูลส่วนตัวของแพทย์ในด้านนี้ไม่ค่อยมีการเปิดเผยนัก ยากที่ประชาชนทั่วไปจะทราบ  แพทย์ที่เป็นอาจารย์ในโรงเรียนแพทย์หรือสถาบันที่มีการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้าน(ซึ่งจะกลายไปเป็นผู้เชี่ยวชาญ)มักจะมีความรู้ที่ทันสมัย เพราะมีกิจกรรมทางวิชาการอยู่ทุก ๆ วัน

5. สถานที่ที่จะทำศัลยกรรม

แน่นอนว่าการผ่าตัดที่ทำในคลินิกย่อมต้องมีราคาถูกกว่าโรงพยาบาล แต่คุณควรทราบด้วยว่า อย่างไรเสีย สภาพแวดล้อมของคลินิกไม่สามารถเอื้อให้เกิดความปลอดภัยได้เท่ากับโรงพยาบาล  กรณีต่อไปนี้เป็นลักษณะที่ควรทำที่โรงพยาบาลมากกว่า

  • การผ่าตัดที่มีการใช้วัสดุปลูกฝังและการผ่าตัดที่เกี่ยวข้องกับกระดูก - การผ่าตัดที่เกี่ยวข้องกระดูกและการใส่วัสดุปลูกฝัง ไม่ว่าจะเป็นซิลิโคน เนื้อเยื่อสังเคราะห์ต่าง ๆ ถือว่ามีความเสี่ยงในการติดเชื้อสูงขึ้นกว่าปกติอยู่แล้ว  หากทำในสภาพแวดล้อมที่ไม่สะอาด โอกาสการติดเชื้อย่อมสูงขึ้นเป็นธรรมดา  ห้องผ่าตัดในคลินิกส่วนใหญ่ก็คือห้องธรรมดาที่ติดแอร์ ไม่เหมือนกับห้องผ่าตัดในโรงพยาบาลที่ต้องมีอุปกรณ์พิเศษในการควบคุมและติดตามสภาพแวดล้อมในแง่มุมต่าง ๆ เช่น ความชื้น อุณหภูมิ ฝุ่น ระบบอากาศ
  • การผ่าตัดที่ต้องระงับปวดด้วยการดมยาสลบ (general anesthesia) หรือฉีดยาให้หลับ (IV sedation) - การมีวิสัญญีแพทย์และอุปกรณ์ทางวิสัญญีคือกุญแจสำคัญของความปลอดภัย  การตายจากศัลยกรรมพบมากที่สุดจากการระงับปวดด้วยการฉีดยาให้หลับในคลินิก
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรืออายุมากหรือเด็กเล็ก - คนกลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงกว่าปกติอยู่แล้วหากต้องทำการผ่าตัดใหญ่ ๆ  ถ้ามีอาการแทรกซ้อนใด ๆ เกิดขึ้นต้องส่งตัวไปโรงพยาบาล สภาพรถติดในเมืองใหญ่ ๆ ก็อาจจะทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นกลายเป็นเรื่องถึงชีวิต  รอดหรือตาย หายหรือพิการ อยู่ที่เวลาเป็นนาที  ควรต้องทำผ่าตัดในโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน
  • การผ่าตัดที่มีการเสียเลือด การผ่าตัดที่ต้องทำนาน ๆ การผ่าตัดที่มีการใส่สารน้ำเข้าสู่ร่างกายจำนวนมาก - ตัวอย่างเช่น การดูดไขมันเป็นปริมาณมาก ๆ (มากกว่าหนึ่งลิตร) การผ่าตัดกระดูก การผ่าตัดที่ทำให้หลับนานกว่า 3-4 ชม.

หมอที่ดีย่อมสามารถจะเลือกสถานที่ผ่าตัดได้เหมาะสมกับผู้ป่วยและการผ่าตัดที่จะทำ แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รู้จักหมอดีนัก อาจจะเห็นแค่ชื่อเสียงในอินเทอร์เน็ต ไม่รู้จักอุปกรณ์ทางการแพทย์ด้วย  บางคนก็เสียเงินมัดจำไปแล้ว พอเข้าไปเห็นห้องผ่าตัดที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็เกิดอาการไม่มั่นใจ  ถ้าคิดได้ ตัดใจได้ ก็ไม่ยอมทำ ยอมเสียเงินมัดจำ  แต่ถ้าเสียดายเงิน ก็ทำต่อจนเกิดปัญหาตามมา เสียอกเสียใจทีหลัง ตามแก้กันไปไม่สิ้นสุด

บทสรุป

มีหลายสิ่งหลายสิ่งที่คุณควรรู้ก่อนที่จะเข้ารับการทำศัลยกรรม อย่างน้อยคำถามคำตอบ 5 ข้อนี้ เป็นพื้นฐานความรู้ที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้คุณมีโอกาสได้รับความสำเร็จจากศัลยกรรมได้อย่างปลอดภัย